เรื่องอารมณ์ของวิปัสสนา (มีรายละเอียดไปตามลำดับ)


๑) เริ่มต้นของการปฏิบัติวิปัสสนา โยคีบุคคล จะกำหนดอารมณ์ ๖ ที่เป็นไปเฉพาะหน้า โดยความเป็น "รูป-นาม" การกำหนดนี้ เรียกว่า "นามรูปปริจเฉทญาณ" เป็นการแยกรูป-นาม ออกจากบัญญัติธรรม (เพื่อถอนสักกายทิฏฐิ ว่าเป็นสัตว์ - บุคคล หรือเป็นตัวตนของเรา... ออกได้) 

๒) จากนั้น จะค้นคว้าหาเหตุ-ปัจจัยของรูป-นามนั้นว่า มีอะไรเป็นเหตุปัจจัย เพื่อตัดวิจิกิจฉา ความสงสัยว่า รูป-นามนี้ มีผู้เป็นใหญ่ดลบันดาลสร้างสรรมาหรือไม่อย่างไร? เมื่อค้นคว้าไป ก็จะรู้ความจริงว่า รูป-นาม เกิดขึ้นมาได้เพราะเหตุ-ปัจจัย ไม่มีผู้ดลบันดาลเสกสรรมา... แม้เหตุ-ปัจจัยที่ให้เกิดรูป-นามนั้น ก็เป็นสภาพธรรมที่เป็นรูป-นามนั่นเอง ไม่ใช่สัตว์บุคคล หรือเทพเจ้าใด ๆ ทั้งสิ้น เรียกการกำหนดค้นคว้านี้ว่า "นามรูปปัจจยปริคคหญาณ" (เป็นเหตุตัดความสงสัยในลักษณะ ๘ อย่างในพระสูตร, และความสงสัย ๑๖ อย่างในอภิธรรม / ดูปฏิจจสมุปบาท, กังขาวิตรณวิสุทธิ...ในวิสุทธิมรรค-ประกอบ) 

๓) จากนั้น กิจของญาณ (ปัญญา) จะเห็นรูป-นาม แสดงลักษณะของความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และเป็นอนัตตา ออกมา...(สัมมสนญาณ)  

    - (จิต + ปัญญา กล่าวโดยปุคคลาธิษฐานได้แก่พระโยคาวจรบุคคล) จะเพ่งลักษณะอาการทั้ง ๓ ของรูป-นามนั้น และอาการที่ปรากฏชัดเจนของความไม่เที่ยงก็คือ "ความเกิดขึ้นและความดับไป" (อุทยัพพยญาณ)   

    - แต่อารการที่รูป-นามนั้น ไม่เที่ยง,เป็นทุกข์,เป็นอนัตตา ปรากฏชัดเจนที่สุดตรงความดับไปจุดเดียว (ภังคญาณ) (จิต + ปัญญา) จึงเพ่งไปที่จุดดับ (ภังคะ) ของรูป-นามนั้นอย่างเดียว.... 

    - เมื่อเห็นเฉพาะจุดที่รูป-นามดับไปอย่างเดียว, ปัญญาเห็นภัยในรูป-นามก็เกิด (ภยญาณ), พร้อมกับการเห็นโทษ, ความน่าเบื่อหน่าย, และใคร่จะหลุดพ้นไปจากรูป-นาม (อาทีนวญาณ, นิพพิทาญาณ, มุญจิตุกัมยตาญาณ) ก็เกิดเป็นลำดับติดต่อกันไป... 

    - ในช่วงตั้งแต่ สัมมสนญาณ เป็นต้นไป...ญาณ หรือปัญญา ที่เกิดในขณะนั้น เพ่งลักษณะของรูปนามเป็นหลัก (เรียกว่ามีไตรลักษณ์เป็นอารมณ์) 

      อนึ่ง ลักษณะทั้ง ๓ ได้แก่ อนิจจลักษณะ,ทุกขลักษณะ,อนัตตลักษณะ นั้น ไม่ใช่เป็นอันเดียวกันกับรูป-นาม แต่เป็นอาการที่ปรากฏอยู่กับรูป-นาม, อุปมาเหมือนกับบุคคลไปซื้อผ้า เห็นผ้าผืนหนึ่งสวย ถูกใจ จึงหยิบขึ้นมาดู พลิกดู คลี่ผ้าออกดู ปรากฏว่าเห็นรูเล็ก ๆ ๓ รู (เล็กใหญ่ไม่เท่ากัน) ปรากฏที่ผ้า ซึ่งเกิดจากสะเก็ดไฟตกใส่ ความพอใจที่จะซื้อผ้านั้นก็หายไป....เพราะเห็นผ้านั้นเป็นรูเพราะถูกไฟไหม้เป็นรูนั้น...

         - รู (ร่องรอยที่ถูกไฟไหม้) ที่ปรากฏที่ผ้า ไม่ใช่ผ้า  

         - อนึ่ง ผ้า ก็ไม่ใช่รู 

           แต่เพราะรูนั้น ปรากฏที่ผ้า จึงทำให้บุคคลคลายความพอใจในผ้า ... ฉันใด (เพ่งที่รู แต่คลายความพอใจในผ้า) 

      - พระโยคีบุคคล พิจารณาเห็นรูป-นาม มีข้อบกพร่อง ๓ จุด (ดุจคนเห็นรูปที่ผ้า ๓ รู)  คือมีลักษณะอนิจจัง ๑, ทุกขัง ๑, อนัตตา ๑ อย่างใดอย่างหนึ่งชัดเจน ไม่เท่ากัน ที่ปรากฏอยู่ที่รูป-นาม จึงคลายความพอใจในรูป-นาม ฉันนั้น ฯ 

      - อนิจจลักษณะ - ลักษณะที่ไม่เที่ยง, ทุกขลักษณะ - ลักษณะที่เป็นทุกข์, อนัตตลักษณะ - ลักษณะที่ไม่ใช่ตัวตน  ไม่ใช่รูป-นาม  

      - ในขณะเดียวกัน รูป-นาม ก็ไม่ใช่ ลักษณะทั้ง ๓ นั้น แต่ลักษณะทั้ง ๓ นั้นไปปรากฏอยู่กับรูป-นาม จึงเป็นเหตุให้โยคีบุคคล คลายความพอใจในรูปนาม เพราะเห็นลักษณะทั้ง ๓ นั้น  ดุจบุคคล คลายความพอใจในผ้า เพราะเห็นผ้านั้นเป็นรู ฉะนั้น ฯ


*** สรูปว่า 

     - อารมณ์ของวิปัสสนา ตอนต้น เป็นรูป-นาม (นามรูปปริจเฉทญาณ และ ปัจจยปริคคหญาณ)

     - หลังจาก สัมมสนญาณเป็นต้นไป จนถึง อนุโลมญาณ (ญาณที่ ๑๒) อารมณ์ของวิปัสสนาญาณ เป็นไตรลักษณ์

     - พอถึง โคตรภูญาณ  อารมณ์ของโคตรภูจิตนั้น เป็น "นิพพาน" (โคตรภู ไม่นับในวิปัสสนาญาณ) 

     - มรรคญาณ,ผลญาณ มีนิพพาน เป็นอารมณ์

     - ปัจจเวกขณญาณ มี รูป-นาม (มรรค-ผล-กิเลสที่ละแล้วและยังไม่ได้ละ), นิพพาน ...เป็นอารมณ์ตามสมควร 


---------//นิติเมธี//--------- 


[full-post]

อารมณ์ของวิปัสสนา, วิปัสสนากรรมฐาน

แสดงความคิดเห็น

ข้อมูลความคิดเห็นของท่าน จะถูกตรวจสอบก่อนทุกครั้ง ฯ

ขับเคลื่อนโดย Blogger.