โยนิโสมนสิการกธรรม ของพระพุทธองค์ -


(ข้อความจาก ธัมมปทัฏฐกถา ภาคที่ ๕ "โพธิกถา") 


โส หิ โพธิรุกฺขมูเล นิสินฺโน, จริงอยู่ (พระโพธิสัตว์) นั้น ทรงประทับนั่ง ณ โคนต้นโพธิ

สุริเย อนตฺถงฺคเตเยว, เมื่อพระอาทิตย์ยังไม่ตกดิน (ยังไม่ถึงซึ่งการตั้งอยู่ไม่ได้)

มารพลํ วิธมิตฺวา - ทรงกำจัดมารและเสนามาร (กำจัดนิวรณ์ธรรม แล้วทรงบรรลุรูปฌาน, อรูปฌาน)  

ปฐมยาเม ปุพฺเพนิวาสปฏิจฺฉาทกํ ตมํ ปทาเลตฺวา - ในปฐมยาม ทรงทำลายความมืดที่ปกปิดญาณ อันเป็นเครื่องรู้ขันธ์,อายตนะ,ธาตุ...ที่ในอดีต (ทรงบรรลุปุพเพนิวาสานุสสติญาณ คือทรงทำอภิญญาให้เกิดขึ้น (กุศลอภิญญา) แล้วน้อมไปเพื่อรู้ ขันธ์,อายตนะ,ธาตุ...ที่ในอดีตชาติต่าง ๆ มากมาย...) 

มชฺฌิมยาเม ทิพฺพจกฺขุํ วิโสเธตฺวา - ในมัชฌิมยาม ทรงยังทิพพจักขุให้หมดจดแล้ว (คือทรงบรรลุทิพพจักขุอภิญญา หรือ จุตูปปาตญาณ, ญาณที่รู้การจุติและอุบัติของสัตว์ทั้งหลาย พร้อมกับทราบถึงกรรมที่ก่อให้เกิดวิบาก (ปฏิสนธิ,ปวัตติ) ของสัตว์ทั้งหลาย บางทีเรียกว่า "กัมมูปคญาณ" ฯ  

ปจฺฉิมยาเม สตฺเตสุ การุญฺญตํ ปฏิจฺจ - ในปัจฉิมยาม ทรงอาศัยความกรุณาในสัตว์ทั้งหลาย

ปจฺจยากาเร ญาณํ โอตาเรตฺวา - จึงทรงยังพระญาณให้หยั่งลงในปัจจยาการ 

ตํ (ปจฺจยาการํ) อนุโลมปฏิโลมวเสน สมฺมสนฺโต - ทรงใคร่ครวญพิจารณาปัจจยาการนั้น ทั้งอนุโลมและปฏิโลม...

อรุณุคฺคมนเวลาย สห อจฺฉริเยหิ สมฺมาสมฺโพธึ อภิสมฺพุชฺฌิ. - ทรงบรรลุสัมมาสัมโพธิญาณ พร้อมกับความมหัศจรรย์ทั้งหลาย (พร้อมด้วยพระญาณทั้งหลายมีเวสารัชชญาณเป็นต้น) ในเวลาที่เป็นที่ขึ้นไปแห่งอรุณ ฯ  (คือทรงบรรลุ อาสวักขยญาณ) 

จากนั้น ทรงเปล่งอุทาน "อเนกชาติ สํสารํ ...... ตณฺหานํ ขยมชฺฌคา ฯ 


ข้อสังเกต : - 

      - ปฏิจจสมุปบาท เบื้องปลาย คือ ชรามรณะ, โสกะ,ปริเทวะ,ทุกข์ (พยาธิทุกข์ ทุกข์กาย), โทมนัส,อุปายาส - ปรากฏแก่พระองค์ ครั้งทรงเสด็จเลียบพระนครประพาสอุทยาน ทรงเห็น คนแก่ เจ็บ ตาย... หลังจากนั้น ขณะเสด็จเข้าพระราชฐาน มหาดเล็กมาทูลว่า พระนางยโสธราพิมพาทรงประสูติการพระโอรส ... พระองค์ทรงประมวลเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่ทรงเห็นในขณะเสด็จเลียบพระนคร ประพาสอุทยาน ... เข้ามาหาการประสูติของราหุลกุมารว่า "ชรา-มรณะ, โสกะ...." นั้น...ไหลมาแต่ชาติ คือการเกิดนั่นเอง... ทรงดำริในขณะนั้นว่า แล้วอะไร? เป็นสาเหตุของชาติ คือความเกิด...เมื่อดำริไม่ออก จึงตัดสินพระทัยออกผนวช....ฯ ทรงตามหาธรรมที่เป็นเหตุของความเกิด....

      - จากนั้น ในคราวก่อนการทรงบรรลุ ทรงน้อมอภิญญาจิตไปในอดีต...ด้วยอำนาจปุพเพนิวาสาสนุสติญาณ ...และพิจารณาการจุติ-อุบัติของสัตว์ทั้งหลาย ด้วยจุตูปปาตญาณ เป็นเหตุให้พระองค์เข้าใจแจ่มแจ้งว่า อะไรเป็นสาเหตุของความเกิด (ชาติ) หมดความสงสัยในสาเหตุของชาติ ว่า "สาเหตุของชาติ ก็คือ มูล ๒ อย่าง คือ อวิชชา ตัณหา นี่เอง"  

      - พอใกล้อรุณจะขึ้น พระองค์ก็บรรลุอาสวักขยญาณ ญาณเป็นเครื่องทำอาสวะ องค์ธรรม ๓ คือ โมหะ โลภะ ทิฏฐิ ให้สิ้นไป... 

      - และ อาสวะองค์ธรรม ๓ (โมหะ,โลภะ,ทิฏฐิ) นี้เอง พระองค์ตรัสว่าเป็น "กิเลสวัฏฏ์" (ตีณิ วฏฺฏานิ) ในปฏิจจสมุปบาท, และในปฏิจจสมุปบาท ว่าโดยมูล มี ๒ คือ โมหมูล และ โลภมูล  


เหตุการณ์ช่วงก่อนและการตรัสรู้...


      - ก่อนตรัสรู้ : พระองค์ทรงทำรูปฌาน อรูปฌานให้เกิดขึ้น (ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะพระองค์เคยกระทำได้มาก่อนแล้ว สมัยอยู่กับอาฬารดาบสและอุทกดาบส) 

      - ทำอภิญญา ๓ ให้เกิดขึ้น คือ ปุพเพนิวาสาสนุสสติญาณ, และและทิพพจักขุญาณ หรือ จุตูปปาตญาณ ซึ่งเป็นโลกียอภิญญา แล้วทรงบรรลุโลกุตตรอภิญญา คืออาสวักขยญาณในตอนท้ายของปัจฉิมยาม พระองค์จึงได้ชื่อว่า "อุภโตภาควิมุตติ" (หลุดพ้นทั้งส่วนรูปกาย,และนามกาย) 

        อนึ่ง (ปฏิจจสมุปบาท ก็เป็น ๑ ใน ๖ ของอารมณ์หรือภูมิธรรมอันหนึ่งของวิปัสสนา) 

      - ในยาม ที่ ๑, และ ยามที่ ๒, ตลอดจนถึงเบื้องต้นของยามที่ ๓ พระองค์ได้บรรลุวิชชา ๔ คือ 

             - ปุพฺพนฺเต ญาณํ  ทรงรู้ขันธ์ อายตนะ ธาตุ ซึ่งเคยมีในอดีต...

             - อปรนฺเต ญาณํ  ทรงรู้ขันธ์ อายตนะ ธาตุ ซึ่งเคยมีในอนาคต...

             - ปุพฺพนฺตาปรนฺเต ญาณํ  ทรงรู้ขันธ์ อายตนะ ธาตุ ซึ่งเคยมีทั้งในอดีตและอนาคต

             - ปฏิจฺจสมุปฺปาเทสุ ธมฺเมสุ ญาณํ  ทรงรู้ธรรมอันเป็นปัจจัยและอาศัยปัจจัยเกิดขึ้นในเชิงของปฏิจจสมุปบาท

      - ในตอนท้ายของยามที่ ๓ (ปัจฉิมยาม) พระองค์ทรงบรรลุอาสวักขยญาณ (ญาณเป็นเครื่องทำอาสวะให้หมดไป) เป็นญาณที่รู้และทำกิจในอริยสัจจ์ ๔ (ปริญญา,ปหาน,สัจฉิกรณ,ภาวนา) หมุนเวียนไปด้วย ญาณ ๓ คือ สัจจญาณ, กิจจญาณ, กตญาณ  เป็นอันว่าพระองค์ได้ทรงบรรลุวิชชา ๘ (ตรงกันข้ามกับอวิชชา ๘ ในปฏิจจสมุปบาท)    


จะเห็นได้ว่า กระบวนของเกิดของธรรม...เริ่มแต่ กามาวจรกุศล...ที่ปรารภครั้งแรก โดยเริ่มตั้งความเป็นพระโพธิสัตว์มีความคิดทางใจก่อน ว่า -

      - ติณฺโณ ตาเรยฺยํ - เราข้ามพ้นแล้ว พึงยังผู้อื่นให้ข้ามพ้นด้วย

      - มุตฺโต โมเจยฺยํ - เราหลุดพ้นแล้ว พึงยังผู้อื่นให้หลุดพ้นด้วย

      - พุทฺโธ โพเธยฺยํ : เราตรัสรู้แล้ว พึงยังผู้อื่นให้ตรัสรู้ตามด้วย

    พระดำริตรงนี้ เกิดด้วยอำนาจของกุศลจิต อันมีพื้นฐานมาจากความกรุณาต่อสรรพสัตว์ทั้งหลาย ดังนั้นในพระบาลีในธรรมบท จึงมีคำว่า "สตฺเตสุ การุญฺญตํ ปฏิจฺจ" (อาศัยพระกรุณาในสัตว์ทั้งหลาย)

      - หลังจากนั้น กระบวนการสร้างบารมี เพื่อเสริมความแข็งแกร่งแห่งจิตใจ และเก็บเกี่ยวประสบการณ์ต่าง ๆ อันจะเป็นปัจจัยแห่งการบรรลุสัมมาสัมโพธิญาณ ก็ต่อยอดเรื่อยมา จากที่ทรงดำริอยู่ในใจ ๗ อสงไขย, ก็เปล่งพระวาจาอีก ๙ อสงไขย, และเมื่อได้รับพุทธพยากรณ์ เป็นนิยตโพธิสัตว์ ก็ทรงบำเพ็ญบารมีอีก ๔ อสงไขยแสนกัป รวมเบ็ดเสร็จ ๒๐ อสงไขย (ปัญญาธิกโพธิสัตว์)


      อนึ่ง ความคิดนึกในพระทัย ๓ อย่าง มี "มุตฺโต โมเจยฺยํ" เป็นต้นนั้นแล เกิดด้วยกุศลจิต เพราะฉะนั้น กุศลจิตนั้น ท่านจึงเรียกว่า "มหา" (มหากุศลจิต) เพราะเป็นจิตที่น่าบูชา (มหฺ ธาตุ เป็นไปในความบูชา) เหตุเพราะทำให้เกิดพระโพธิสัตว์และกลายมาเป็นพระพุทธเจ้าในที่สุด ฯ  

      จุดเริ่มต้นจากามาวจรกุศลนั่นแล...เป็นปัจจัยแก่ รูปาวจรกุศล ...อรูปาวจรกุศล...และมรรคกุศลเป็นที่สุด 


     ธรรมอันเป็นโยนิโสมนสิการกธรรม ของพระพุทธองค์ ... เป็นไปดังนี้แล.

-----------------

นิติเมธี


[full-post]

Veeza,ปกิณกธรรม,โยนิโสมนสิการ,โยนิโสมนสิการกธรรม

แสดงความคิดเห็น

ข้อมูลความคิดเห็นของท่าน จะถูกตรวจสอบก่อนทุกครั้ง ฯ

ขับเคลื่อนโดย Blogger.