สมเกียรติ พลเดชอุดมคุณ
คำว่า " กามคุณ " โดยสภาวธรรมเป็นเช่นไร ? ควรแปลว่าอย่างไรถึงจะถูกต้องตรงตามสภาวธรรมนั้น ?
คำศัพท์ว่า "คุณ" มีอรรถ 8 อย่าง คือ
1. ปฏละ ชั้น เช่น ทิคุณํ สํฆาฏึ ปารุโต ห่มผ้าสังฆาฎิสองชั้น (วิ.ป.8/480/442)
2. ราสิ กอง ช่วง เช่น วโยคุณา อนุปุพฺพํ ชหนฺติ ช่วงแห่งวัย ย่อมพ่านไปตามลำดับ (สํ.ส.15/4/3)
3. อานิสังสะ ผลานิสงส์ เช่น สตคุณา ทกฺขิณา ปาฏิกงฺขิตพฺพา พึงหวังผลทักษิณาได้ร้อยเท่า (ม.อุ.14/379/324)
4. พันธนะ ผูก พัน มัด ขด กำ เช่น อนฺตํ อนฺตคุณํ ลำไส้(ขด)ใหญ่ ลำไสั(ขด)เล็ก (ที.มหา 10/377/250) กยิรา มาลาคุเณ พหู นายมาลาการพึงทำกำดอกไม้ให้มาก (ขุ.ธ.25/53/26)
5. อัปปธานะ วิเสสนะ
6. สีลาทิ คุณมีศีลเป็นต้น
7. สุกฺกาทิ สีมีสีขาวเป็นต้น
8. ชิยา สายธนู
ควรดูรายละเอียดใน ที.อฏ.4/546/335 และใน ขุ.อฏฺ.51/40/76 เป็นต้น ประกอบด้วยเถิด
------------------
กามตัณหา กับกามธรรมต่างกันอย่างไร ?
กิเลสกาม และวัตถุกามจัดอยู่ในหมวดกามตัณหา หรือหมวดกามธรรม ?
กามตัณหา(วิ) คือ ความยินดีติดใจในอารมณ์ 6 มีรูปารมณ์ เป็นต้น มีธรรมารมณ์เป็นที่สุด องค์ธรรม คือ โลภเจตสิกในโลภมูลจิต 8
กามธาตุ ในสัมโมหวิโนทนีกล่าวว่า หมายถึงกามาวจรธรรม แบ่งได้เป็นส่วน คือ กิเลสกาม และว้ตถุกาม องค์ธรรมของกิเลสกามจึงกว้างกว่าองค์ธรรมของกามตัณหา มี ความอยาก (ตัณหา) ความติดใจ (ราคะ) ความมักมาก ความไม่รู้จักพอ เป็นต้น ส่วนวัตถุกาม เป็นวัตถุที่แสวงหามาเพื่อเสพสุข จึงได้แก่กามคุณ 5 เท่านั้น คือ รูป เสียง กลิ่น รส และ การสัมผัสจับต้อง
-----------------
ในบรรดาธรรม 3 อย่าง คือ วิตก เจตนา และ มนสิการ มีส่วนคล้ายกันก็คือ แต่ละอย่างต่างก็กระทำต่อธรรมที่เกิดร่วม กับตน เข้าไว้ในอารมณ์ด้วยกัน แต่ก็ต่างกันด้วยอาการที่กระทำ พร้อมอุปมาดังนี้ :-
วิตก ย่อมเป็นไปโดยอาการนำพาเอาสัมปยุตตธรรมที่เกิดร่วมกันกับตน เข้าสู่อารมณ์เดียวกัน เหมือนเรือโยงกับเรือพ่วง
เจตนา ย่อมเป็นไปโดยอาการจัดแจงเอาสัมปยุตตธรรมที่เกิดร่วมกันตน เข้าสู่อารมณ์เดียวกัน เหมือนแม่ทัพนำลูกทัพให้ทำกิจของตนๆ
มนสิการ ย่อมเป็นไปโดยอาการมุ่งตรงเอาสัมปยุตตธรรมที่เกิดร่วมกันกับตน เข้าสู่อารมณ์เดียวกัน เหมือนนายสารถีนำม้าอาชาไนยมุ่งตรงต่อทาง
สาระการศึกษาสัมปยุตตธรรมที่มีหน้าตาคล้ายฝาแฝด(ลักษณะ) แต่บัณฑิตก็สามารถแยกฝาแฝดได้ โดยอาศัยผลหรืออาการที่ปรากฏ(ปัจจุปัฏฐาน) เป็นต้น จากคัมภีร์นิสสยะอักษรขอมยุกสุโขทัยรุ่งเรือง
-------------
เพื่อนสหธรรมิกจะสำคัญสภาวะธรรมอันเป็นองค์ธรรมที่พระพุทธองค์ทรงตรัสเทสนาเป็นไฉน?
ดังเช่น องค์แห่งอทินนาทานสิกขาบทข้อที่หนึ่ง ซี่งมักจะแปลกันว่า " เป็นของผู้อื่น ที่มีชาติเป็นมนุษย์หวงแหนอยู่ " ส่วนพระดำรัสทรงตรัสว่า " อญฺญสฺส มนุสฺสชาวติกสฺส วเสน ปรปริคฺคหิตํ " ความว่า " เป็นของบุคคลอื่น ที่ถือกำเนิดเป็นมนุษย์ ซี่งเป็นบุคคลผู้คอบครองอยู่ "
ถามว่า คำว่า หวงแหน อยู่ กับ คำว่า ครอบครองอยู่ กินความต่างกันมากน้อยเพียงไหน ? การลักขโมยของพระอรหันต์ผู้สิ้นความหวงแหนแล้ว แต่ยังคอบครองใช้ประโยชน์อยู่ ก็ดาม การลักขโมยทรัพย์สมบัติของชาติ อันเป็นของส่วนรวม ก็ตาม คือ ส่วนที่ขาดหายไป และ ก็เป็นส่วนที่มีโทษมากด้วย ใช่แต่เท่านั้น ในคัมภีร์นิสสยะอักษรมอญ อักษรล้านนา อักษรล้านช้าง รวมทั้งอักษรสิงหลด้วย ต่างก็ย้ำให้เห็นความสำคัญของการคอบครองที่เกิดต่อเนื่องกันได้อีกด้วย โดยยกตัวอย่าง เช่น เศรษฐีผู้มีอันจะกินมากมาย สั่งให้คนใช้ขนเศษฝุ่นดินละอองใส่ตะกร้าที่ใช้ไม่ได้แล้วไปทิ้งข้างรั้ว ต่อมาฝนตกก็มีต้นพริกงอกงามขึ้น การถือสิทธิ์คอบครองก็เกิดขึ้นกับเศรษฐีได้อีก ทั้งๆที่ก่อนหน้านั้นสละสิทธิ์คอบครองไปแล้วก็ตาม
ดังนั้นสภาวะธรรม อันเป็นพระธรรมวินัย จึงสุขุมลุมลึก ควรที่เพื่อนสกธรรมิกจักพากันใส่ใจก็ด้วยเหตุผลประการฉะนี้แล
------------
"สงสาร"
ศัพท์ว่า สงสาร มาจาก สํปุพพ สรธาตุ คติยํ ณปัจจัย สำเร็จเป็นคำศัพท์ว่า สํสาร แปลว่า การเวี่ยนว่ายตายเกิด ไทยนิยมเขียนเป็นสงสาร และใช้ในความหมายว่า สมเพช แปลว่า รู้สึกเห็นใจในทุกข์ของผู้อื่น
ในคัมภีร์มิลินทปัญหามีกล่าวถึงสํสาร ดังนี้
พระเจ้ามิลินท์ : พระคุณเจ้านาคเสน สงสาร คืออะไร? เป็นอย่างไร?
พระนาคเสน : ขอถวายพระพร มหาบพิตร บุคคลเกิดในโลกนี้แล้วก็ตายในโลกนี้นั่นแหละ ครั้นตายในโลกนี้แล้ว ก็เกิดขึ้นในโลกอื่น, เกิดในโลกนั้นแล้วก็ตายในโลกนั้นนั่นแหละ ครั้นตายในโลกนั้นแล้ว ก็เกิดขึ้นในโลกอื่นอีก. ขอถวายพระพร สงสารเป็นอย่างนี้แล
พระเจ้ามิลินท์ : ขอพระคุณเจ้าจงกระทำอุปมา
พระนาคเสน : ขอถวายพระพร เปรียบเหมือนว่า บุรุษคนหนึ่งเคี้ยวกินผลมะม่วงสุก แล้วเพาะเมล็ดมะม่วงนั้นไว้, ต่อจากเมล็ดมะม่วงที่เพาะไว้นั้น พึงบังเกิดเป็นต้นมะม่วงใหญ่แล้วให้ผล, ลำดับนั้นบุรุษผู้นั้นก็จะพึงเคี้ยวกินผลมะม่วงสุก แม้จากต้นมะม่วงต้นที่สองนั้น แล้วก็เพาะเมล็ดมะม่วงไว้, แม้ต่อจากเมล็ดมะม่วงที่เพาะไว้นั้น พึงบังเกิดเป็นต้นมะม่วงใหญ่แล้วให้ผล เมื่อเป็นวงรอบหมุนวนเวียนเป็นวัฏฏะเช่นนี้ร่ำไป ต้นแรกสุดแห่งบรรดาต้นมะม่วงเหล่านั้น ก็ย่อมไม่ปรากฏ เหมือนการหาจุดเริ่มต้นในวงกลม เป็นฉันใด แม้นการหาจุดในวัฏฏสงสารก็เป็นฉันนั้นแล
พระเจ้ามิลินท์ : พระคุณเจ้านาคเสน ท่านตอบได้กระจ่างชัดแล้วแล
-----------------
แสดงความคิดเห็น
ข้อมูลความคิดเห็นของท่าน จะถูกตรวจสอบก่อนทุกครั้ง ฯ