(พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๑ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๓ อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต)


     [๓๒] จตฺตารีมานิ ภิกฺขเว สงฺคหวตฺถูนิ กตมานิ จตฺตาริ ทานํ เปยฺยวชฺชํ อตฺถจริยา สมานตฺตตา อิมานิ โข ภิกฺขเว จตฺตาริ สงฺคหวตฺถูนีติ ฯ

         ทานญฺจ เปยฺยวชฺชญฺจ        อตฺถจริยา จ ยา อิธ

         สมานตฺตตา จ ธมฺเมสุ        ตตฺถ ตตฺถ ยถารหํ

         เอเต โข สงฺคหา โลเก        รถสฺสาณีว ยายโต ฯ

         เอเต จ สงฺคหา นาสฺสุ        น มาตา ปุตฺตการณา

         ลเภถ มานํ ปูชํ วา            ปิตา วา ปุตฺตการณา ฯ

         ยสฺมา จ สงฺคหา เอเต        สมเวกฺขนฺติ ปณฺฑิตา

         ตสฺมา มหตฺตํ ปปฺโปนฺติ        ปาสํสา จ ภวนฺติ เตติ ฯ

                              สังคหสูตร

      [๓๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สังคหวัตถุ ๔ ประการนี้, ๔ ประการเป็นไฉน คือ ทาน การให้ ๑ เปยยวัชชะ ความเป็นผู้มีวาจาน่ารัก ๑ อัตถจริยา ความประพฤติประโยชน์ ๑ สมานัตตา ความเป็นผู้มีตนเสมอ ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย สังคหวัตถุ ๔ ประการนี้แล ฯ

                          การให้ ๑ ความเป็นผู้มีวาจาน่ารัก ๑ ความประพฤติประโยชน์

                          ในโลกนี้ ๑ ความเป็นผู้มีตนสม่ำเสมอในธรรมนั้นๆ ตาม

                          สมควร ๑ ธรรมเหล่านั้นแล เป็นเครื่องสงเคราะห์โลก

                          ประดุจสลักเพลาควบคุมรถที่แล่นไปอยู่ไว้ได้ ฉะนั้น

                          ถ้าธรรมเครื่องสงเคราะห์เหล่านี้ ไม่พึงมีไซร้ มารดาหรือบิดาไม่

                          พึงได้ความนับถือหรือบูชาเพราะเหตุแห่งบุตร ก็เพราะเหตุที่

                          บัณฑิตพิจารณาเห็นธรรมเครื่องสงเคราะห์เหล่านี้ ฉะนั้น

                          พวกเขาจึงถึงความเป็นใหญ่ และเป็นที่น่าสรรเสริญ ฯ

                                               จบสูตรที่ ๒


(อรรถกถา อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต ปฐมปัณณาสก์ จักกวรรคที่ ๔)

๒. สงฺคหสุตฺตวณฺณนา

     [๓๒] ทุติเย สงฺคหวตฺถูนีติ สงฺคณฺหนการณานิ. ทานญฺจาติอาทีสุ เอกจฺโจ หิ ทาเนเนว สงฺคณฺหิตพฺโพ โหติ, ตสฺส ทานเมว ทาตพฺพํ. เปยฺยวชฺชนฺติ ปิยวจนํ. เอกจฺโจ หิ "อยํ ทาตพฺพํ นาม เทติ, เอเกน ๓- ปน วจเนน สพฺพํ มกฺเขตฺวา นาเสติ, กึ เอตสฺส ๔- ทานนฺ"ติ วตฺตา โหติ. เอกจฺโจ "อยํ กิญฺจาปิ ทานํ น เทติ, กเถนฺโต ปน เตเลน วิย มกฺเขติ. เอส เทตุ วา มา วา, วจนเมวสฺส สหสฺสํ อคฺฆตี"ติ วตฺตา โหติ. เอวรูโป ปุคฺคโล ทานํ น ปจฺจาสึสติ, ปิยวจนเมว ปจฺจาสึสติ. ตสฺส ปิยวจนเมว วตฺตพฺพํ. อตฺถจริยาติ อตฺถสํวฑฺฒนกถา. เอกจฺโจ หิ เนว ทานํ, น ปิยวจนํ ปจฺจาสึสติ, อตฺตโน หิตกถํ วฑฺฒิกถเมว ปจฺจาสึสติ. เอวรูปสฺส ปุคฺคลสฺส "อิทํ เต กาตพฺพํ, อิทํ น กาตพฺพํ, เอวรูโป ปุคฺคโล เสวิตพฺโพ, เอวรูโป น เสวิตพฺโพ"ติ เอวํ อตฺถจริยกถาว กเถตพฺพา. สมานตฺตตาติ สมานสุขทุกฺขภาโว. เอกจฺโจ หิ ทานาทีสุ เอกมฺปิ น ปจฺจาสึสติ, เอกาสเน นิสชฺชํ, เอกปลฺลงฺเก สยนํ, เอกโต โภชนนฺติ เอวํ สมานสุขทุกฺขตํ ปจฺจาสึสติ. โส สเจ คหฏฺฐสฺส ชาติยา ปพฺพชิตสฺส สีเลน สทิโส โหติ, ตสฺสายํ สมานตฺตตา กาตพฺพา. ตตฺถ ตตฺถ ยถารหนฺติ เตสุ เตสุ ธมฺเมสุ ยถานุจฺฉวิกํ สมานตฺตตาติ อตฺโถ. รถสฺสาณีว ยายโตติ ยถา รถสฺส คจฺฉโต อาณิ สงฺคโห นาม โหติ, ยานํ ๑-สงฺคณฺหาติ, เอวมิเม สงฺคหา โลกํ สงฺคณฺหนฺติ. น มาตา ปุตฺตการณาติ ยทิ มาตา เอเต สงฺคเห ปุตฺตสฺส น กเรยฺย, ปุตฺตการณา มานํ วา ปูชํ วา น ลเภยฺย. สงฺคหา เอเตติ อุปโยควจเน ปจฺจตฺตํ. สงฺคเห เอเตติ วา ปาโฐ. สมเวกฺขนฺตีติ สมฺมาเปกฺขนฺติ. ปาสํสา จ ภวนฺตีติ ปสํสนียา จ ภวนฺติ.

(เชิงอรรถ: 

   ๑ ฉ.ม. สปฺปุริสาวสฺสโยติ 

   ๒ ฉ.ม. อวสฺสยนํ เสวนํ ภชนํ, สุ.วิ. ๓/๓๕๔/๒๖๐ จตฺตาโรธมฺมวณฺณนา     

   ๓ ฉ.ม. เอเกเกน ๔ ฉ.ม. กึ ตสฺส)


๒. สังคหสูตร

               อรรถกถาสังคหสูตรที่ ๒               

               พึงทราบวินิจฉัยในสังคหสูตรที่ ๒ ดังต่อไปนี้ :-

               บทว่า สงฺคหวตฺถูนิ คือ เหตุแห่งการสงเคราะห์กัน.

               ในบทว่า ทานญฺจ เป็นอาทิ พึงทราบวินิจฉัยดังนี้.

               ก็บุคคลบางคนควรรับสงเคราะห์ด้วยทานอย่างเดียว ก็พึงให้ทานอย่างเดียวแก่เขา.

               บทว่า เปยฺยวชฺชํ คือ พูดคำน่ารัก.


       จริงอยู่ บุคคลบางคนพูดว่า ผู้นี้ให้สิ่งที่ควรให้ แต่ด้วยคำๆ เดียว เขาก็พูดลบหลู่หมดทำให้เสียหาย เขาให้ทำไม ดังนี้. บางคนพูดว่า ผู้นี้ไม่ให้ทานก็จริง ถึงดังนั้น เขาก็พูดได้ระรื่นเหมือนเอาน้ำมันทา. ผู้เช่นนั้นจะให้ก็ตามไม่ให้ก็ตาม แต่ถ้อยคำของเขา ย่อมมีค่านับพัน. บุคคลเห็นปานนี้ย่อมไม่หวังการให้ ย่อมหวังแต่ถ้อยคำที่น่ารักอย่างเดียว ควรกล่าวแต่คำที่น่ารักแก่เขาเท่านั้น.

         บทว่า อตฺถจริยา คือ พูดแต่เรื่องที่เป็นประโยชน์และทำความเจริญ.

         จริงอยู่ บางคนมิใช่หวังแต่ทานการให้ มิใช่หวังแต่ปิยวาจา ถ้อยคำที่น่ารัก หากหวังแต่การพูดที่เป็นประโยชน์เกื้อกูล การพูดที่ทำความเจริญแก่ตนถ่ายเดียว. พึงกล่าวแต่เรื่องบำเพ็ญประโยชน์แก่บุคคลผู้เห็นปานนั้นอย่างนี้ว่า ท่านควรทำกิจนี้ ไม่ควรทำกิจนี้ บุคคลเช่นนี้ควรคบ เช่นนี้ไม่ควรคบ.

        บทว่า สมานตฺตตา คือ ความเป็นผู้มีสุขมีทุกข์เสมอกัน.

        จริงอยู่ บุคคลบางคนย่อมไม่หวังสังคหวัตถุมีทานเป็นต้น แม้แต่อย่างหนึ่ง หากหวังความร่วมสุขร่วมทุกข์อย่างนี้ คือนั่งบนอาสนะเดียวกัน นอนบนเตียงเดียวกัน บริโภคร่วมกัน. ถ้าเขาเป็นคฤหัสถ์ย่อมเสมอกันโดยชาติ บรรพชิตย่อมเสมอกันโดยศีล ความวางตนสม่ำเสมอนี้ ควรทำแก่บุคคลนั้น.

        บาทคาถาว่า ตตฺถ ตตฺถ ยถารหํ ความว่า ความวางตนสม่ำเสมอในธรรมนั้นๆ ตามสมควร.

        บาทคาถาว่า รถสฺสาณีว ยายโต ความว่า สังคหธรรมเหล่านี้ย่อมยึดเหนี่ยวโลกไว้ได้ เหมือนสลัก (ที่หัวเพลา) ย่อมยึดรถที่แล่นไปอยู่ คือย่อมยึดยาน (คือรถ) ไว้ได้ฉะนั้น.

        บาทคาถาว่า น มาตา ปุตฺตการณา ความว่า ถ้ามารดาไม่พึงทำการสงเคราะห์เหล่านั้นแก่บุตรไซร้ ท่านก็ไม่พึงได้รับความนับถือหรือบูชา เพราะบุตรเป็นเหตุ.

        สองบทว่า สงฺคหา เอเต เป็นปฐมาวิภัติใช้ในอรรถทุติยาวิภัติ. อนึ่ง ปาฐะว่า สงฺคเห เอเต ก็มี

        บทว่า สมเวกฺขนฺติ คือ ย่อมพิจารณาเห็นโดยชอบ.

        หลายบทว่า ปาสํสา จ ภวนฺติ คือ ย่อมเป็นผู้ควรสรรเสริญ.

                  ----------------

               จบอรรถกถาสังคหสูตรที่ ๒    


[full-post]

สุตตันตปิฎก,พระสูตร,สังคหสูตร

แสดงความคิดเห็น

ขับเคลื่อนโดย Blogger.