แนะนำคัมภีร์ธรรมบทและชาดก (๔)
-----------------------------------
สามตอนที่ผ่านมา หวังว่าคงพอรู้จักคัมภีร์ธรรมบทและคัมภีร์ชาดกเป็นพื้นฐานพอสมควรแล้ว
ที่นี้ก็มาทำความรู้จักให้กว้างออกไปอีก
ทบทวนสั้นๆ -
ธรรมบทท่านแต่งเป็นคำกลอนตลอดทั้งคัมภีร์
ชาดกท่านก็แต่งเป็นคำกลอนตลอดทั้งคัมภีร์เหมือนกัน
อรรถกถาของธรรมบทและอรรถกถาของชาดกชื่อเดียวกัน คือชื่อ “ปรมัตถโชติกา”
ตรงนี้ต้องเข้าใจสถานะของคัมภีร์อีกหน่อยหนึ่ง
คัมภีร์ในพระพุทธศาสนาท่านจัดไว้เป็นชั้นๆ
คัมภีร์ชั้นต้น เรียกว่า “พระไตรปิฎก” หรือ “พระบาลี”
คัมภีร์ที่อธิบายพระไตรปิฎก เรียกว่า “อรรถกถา” เป็นชั้นรองลงมา
คัมภีร์ที่อธิบายอรรถกถา เรียกว่า “ฎีกา” เป็นชั้นรองลงมาอีก
เอาแค่นี้ก่อน
“อรรถกถา” ไม่ใช่ชื่อคัมภีร์เล่มใดเล่มหนึ่งโดยเฉพาะ แต่เป็นชื่อรวมเรียกคัมภีร์อธิบายความในพระไตรปิฎก = คัมภีร์เล่มไหนแต่งขึ้นเพื่ออธิบายความในพระไตรปิฎก ก็เรียกคัมภีร์เล่มนั้นว่า “อรรถกถา”
คัมภีร์อรรถกถามีชื่อเฉพาะเล่มด้วย เช่น -
“สมันตปาสาทิกา” เป็นชื่ออรรถกถาพระวินัยปิฎก
“สุมังคลวิลาสินี” เป็นชื่ออรรถกถาคัมภีร์ทีฆนิกาย (คัมภีร์แรกของพระสุตตันตปิฎกหรือพระสูตร)
“อัฏฐสาลินี” เป็นชื่ออรรถกถาคัมภีร์ธรรมสังคณี (คัมภีร์แรกของพระอภิธรรมปิฎก) เป็นต้น
คัมภีร์อรรถกถาต้นฉบับเป็นภาษาบาลี พิมพ์เป็นอักษรไทยในเวลานี้มีประมาณ ๖๐ เล่ม
เป็นอันว่า -
อรรถกถาของธรรมบท ชื่อ “ปรมัตถโชติกา”
อรรถกถาของชาดก ก็ชื่อ “ปรมัตถโชติกา” เหมือนกัน
ที่เหมือนกันอีกอย่างหนึ่งก็คือ อรรถกถาของทั้งสองคัมภีร์นี้ไม่มีใครเรียก “ปรมัตถโชติกา” อันเป็นชื่อจริง
อรรถกถาธรรมบทเรียกกันว่า “ธัมมปทัฏฐกถา” เรียกสั้นลงไปอีกว่า “ธรรมบท” ก็เป็นที่รู้กันว่าหมายถึงอรรถกถาธรรมบท
อรรถกถาชาดกเรียกกันว่า “ชาตกัฏฐกถา” เรียกสั้นลงไปอีกว่า “ชาดก” ก็เป็นที่รู้กันว่าหมายถึงอรรถกถาชาดก
แม้แต่นักเรียนบาลีบ้านเราที่ใช้อรรถกถาธรรมบทเป็นแบบเรียนแท้ๆ ก็ไม่รู้ว่าอรรถกถาธรรมบทมีชื่อจริงว่า “ปรมัตถโชติกา”
ไม่เชื่อลองไปถามนักเรียนบาลีดูเถิด
อรรถกถาธรรมบทชื่อจริงว่าอะไร?
ร้อยทั้งร้อยตอบไม่ได้
สุดยอดของความมหัศจรรย์จริงๆ
.....................
อรรถกถาธรรมบทและอรรถกถาชาดกใช้วิธีอธิบายความหรือเล่าเรื่องด้วยลีลาเดียวกัน
วิธีเล่าเรื่องประกอบด้วยเนื้อหาหลัก ๓ ส่วน คือ -
(๑) เรื่องเล่าถึงความเป็นมาหรือเหตุการณ์ที่เป็นสาเหตุให้พระพุทธองค์ตรัสคาถาบทนั้นๆ ส่วนนี้นิยมเรียกกันว่า “ท้องนิทาน”
(๒) ตัวคาถาที่ยกมาจากคัมภีร์ในพระไตรปิฎก เรียกกันว่า “คาถา”
(๓) คำอธิบายความหมายของคาถา เรียกกันว่า “แก้อรรถ”
จบลงด้วยการสรุปว่า เมื่อตรัสคาถาจบแล้วผู้ฟังบรรลุผลเช่นไร
เฉพาะอรรถกถาชาดกมีพิเศษตรงที่-เมื่อเล่าถึงเหตุการณ์ปัจจุบันแล้วจะเล่าเหตุการณ์ในอดีตชาติอันเป็นตัว “ชาดก” ด้วยทุกเรื่อง และเมื่อจบจะบอกด้วยว่า ตัวละครในชาดกตัวไหนคือใครในชาติปัจจุบัน เรียกกันว่า “กลับชาติ”
นั่นเป็นสวนที่เหมือนกัน แต่ส่วนที่ต่างกันคือ ความยาวของเรื่องและวิธีจัดหมวดหมู่ (วิธีจัดหมวดหมู่ พูดมาแล้วในตอนก่อนๆ)
ธรรมบทพระไตรปิฎกฉบับสยามรัฐเล่ม ๒๕ มีจำนวนคาถา ๔๒๓ คาถา เนื้อที่หน้ากระดาษพิมพ์ ๕๘ หน้า
ชาดกพระไตรปิฎกฉบับสยามรัฐพิมพ์ ๒ เล่ม คือ -
เล่มที่ ๒๗ เนื้อที่หน้ากระดาษพิมพ์ ๕๗๑ หน้า
เล่ม ๒๘ เนื้อที่หน้ากระดาษพิมพ์ ๔๕๓ หน้า
รวม ๒ เล่ม ๑,๐๒๔ หน้า
พอมาถึงอรรถกถา
อรรถกถาธรรมบท หรือ “ธัมมปทัฏฐกถา” ที่พิมพ์เป็นบาลีอักษรไทยฉบับที่ยุติเป็นมาตรฐานในเมืองไทย คือฉบับที่มหามกุฏราชวิทยาลัยจัดพิมพ์ แบ่งเป็น ๘ เล่ม เรียกว่า “ภาค” ตั้งแต่ “ปฐโม ภาโค” = ภาค ๑ จนถึง “อฏฺฐโม ภาโค” = ภาค ๘ มีจำนวนหน้าดังนี้ -
ภาค ๑ 148 หน้า
ภาค ๒ 158 หน้า
ภาค ๓ 190 หน้า
ภาค ๔ 149 หน้า
ภาค ๕ 120 หน้า
ภาค ๖ 189 หน้า
ภาค ๗ 162 หน้า
ภาค ๘ 197 หน้า
รวม ๘ ภาค ๑,๓๑๓ หน้า
อรรถกถาชาดก หรือ “ชาตกัฏฐกถา” ที่พิมพ์เป็นบาลีอักษรไทยโดยมหามกุฏราชวิทยาลัยจัดพิมพ์ แบ่งเป็น ๑๐ เล่ม เรียกว่า “ภาค” มีจำนวนหน้าดังนี้ -
ภาค ๑ 411 หน้า
ภาค ๒ 474 หน้า
ภาค ๓ 421 หน้า
ภาค ๔ 618 หน้า
ภาค ๕ 618 หน้า
ภาค ๖ 418 หน้า
ภาค ๗ 463 หน้า
ภาค ๘ 495 หน้า
ภาค ๙ 515 หน้า
ภาค ๑๐ 608 หน้า
รวม ๑๐ ภาค ๕,๐๔๑ หน้า
ลองเปรียบความยาวดู -
อรรถกถาธรรมบท ๘ ภาค ๑,๓๑๓ หน้า
อรรถกถาชาดก ๑๐ ภาค ๕,๐๔๑ หน้า
อรรถกถาชาดกยาวกว่าอรรถกถาธรรมบทประมาณ ๕ เท่า
ผมไม่ทราบว่ามีใครเคยนับจำนวนหน้าและเอาสถิติของคัมภีร์อรรถกถาทั้งสองนี้มาเสนอสู่สายตาสาธารณชนไว้ที่ไหนบ้าง
ขอสมมุติตัวเองว่า มีผมทำเป็นคนแรกก็แล้วกัน อิอิ
พูดอย่างนี้ก็เพื่อให้กระทบใจนักเรียนบาลีอีกเช่นเคย
งานบาลีมีให้ทำอีกเยอะ
งานแบบนี้ ใครจะเห็นว่ามีประโยชน์หรือเห็นว่าไร้สาระ ก็เป็นเสรีภาพทางความคิดเห็น เชิญว่ากันได้เต็มที่
แต่งานทุกอย่าง เมื่อทำขึ้นไว้ ก็ย่อมไม่ไร้ประโยชน์
สมดังคำในชาดกที่ว่า -
.........................................................
สาธุ โข สิปฺปกนฺนาม อปิ ยาทิสกีทิสํ.
งานที่ทำด้วยฝีมือ มีประโยชน์ทั้งนั้น
ไม่ว่าจะเป็นงานอะไร
ที่มา: สาลิตตกชาดก เอกนิบาต พระไตรปิฎกเล่ม ๒๗ ข้อ ๑๐๗
สพฺพํ สุตมธีเยถ หีนมุกฺกฏฺฐมชฺฌิมํ
สพฺพสฺส อตฺถํ ชาเนยฺย น จ สพฺพํ ปโยชเย
โหติ ตาทิสโก กาโล ยตฺถ อตฺถาวหํ สุตํ.
ควรเรียนวิชาทุกอย่าง ไม่ว่าจะเลว ดี หรือธรรมดา
ควรรู้ประโยชน์ของวิชาทุกอย่าง แต่ไม่ควรใช้ทุกอย่าง
โอกาสที่จะใช้วิชานั้นๆ ให้เป็นประโยชน์ มีอยู่แน่ๆ
ที่มา: มูสิกชาดก ปัญจกนิบาต พระไตรปิฎกเล่ม ๒๗ ข้อ ๘๑๗
.........................................................
พลเรือตรี ทองย้อย แสงสินชัย
๑๑ ตุลาคม ๒๕๖๖
๑๒:๐๙
[full-post]
แสดงความคิดเห็น
ข้อมูลความคิดเห็นของท่าน จะถูกตรวจสอบก่อนทุกครั้ง ฯ